วันศุกร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

รายงานการจัดทำและพัฒนาเอกสารประกอบการเรียน เพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม สาระประวัติศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6

                                                                         บทคัดย่อ

                       การศึกษาเรื่องนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1)  เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของเอกสารประกอบการเรียน สาระประวัติศาสตร์ กลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม  สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่  6  ให้มีประสิทธิภาพตามหลักเกณฑ์ 80/80   (2)  เพื่อเปรียบเทียบผลการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนหลังการใช้เอกสารประกอบการเรียน  (3)  เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 หลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้  โดยใช้เอกสารประกอบการเรียน สาระประวัติศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม 

                       ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือนักเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม  สาระประวัติศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6   โรงเรียนบ้านอาตะบือเระ   ปีการศึกษา 2551 จำนวน   53   คน กลุ่มตัวอย่าง  นักเรียนชั้นประถมศึกษาปี  6/1  ปีการศึกษา  2551 จำนวน  26  คน
                        เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา คือ เอกสารประกอบการเรียน แบบประเมินคุณภาพสื่อ โดยผู้เชี่ยวชาญ และ แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนในการเรียนโดยใช้เอกสารประกอบการเรียน
                          วิธีดำเนินการศึกษา ประกอบด้วย การดำเนินการตามขั้นตอนดังนี้
                            1. นำเอกสารประกอบการเรียนไปใช้กับนักเรียน ในปีการศึกษา 2551โดยใช้ประกอบการสอนในแต่ละแผน โดยให้นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน และให้นักเรียนทำกิจกรรมแล้วเก็บคะแนนเป็นรายหน่วยตามกิจกรรมทุกสาระการเรียนรู้ เมื่อเรียนจบแต่ละหน่วยและสาระการเรียนรู้ให้นักเรียนทำแบบทดสอบหลังเรียน แล้วเก็บคะแนนไว้เพื่อประมวลผลต่อไป
                            2. เมื่อนักเรียนจบแต่ละหน่วยให้นักเรียนประเมินความพึงพอใจในการใช้เอกสารประกอบการเรียน แล้วเก็บไว้เพื่อประมวลผลต่อไป
                            3.  ประมวลผลการศึกษา โดยศึกษาประสิทธิภาพของสื่อโดยนำคะแนนจากการทำกิจกรรม และการทดสอบหลังเรียน   มาหาค่าร้อยละและเปรียบเทียบกับเกณฑ์ 80/80 ที่ตั้งไว้ ศึกษาผลการเรียนเปรียบเทียบกับผลการเรียนหลังเรียน โดยคำนวณหาค่า t เพื่อหาว่าผลการเรียนหลังเรียนมากกว่าก่อนเรียน  อย่างมีนัยสำคัญ  และศัพท์ผลการประเมินความพึงพอใจของการนักเรียนว่ามีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก และนำผลการศึกษามาสรุป วิเคราะห์ และจัดทำรายงานผล
                             ผลการศึกษาพบว่า
                     1. ผลการศึกษาประสิทธิภาพของเอกสารประกอบการเรียน โดยพิจารณาผลการเรียนระหว่างเรียนเปรียบเทียบกับผลการเรียนหลังเรียน   ปรากฏว่าผลการเรียนในระหว่างเรียนเฉลี่ยร้อยละ 86.37   และผลการทดสอบหลังเรียน เฉลี่ยร้อยละ 84.55   ซึ่งมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้  
 คือ   E 1 / E 2 เท่ากับ  80 /80
                    2. ผลการเรียน หลังเรียนมากกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญ โดยมี ค่า  t   =  1.8
                    3. ผลการประเมินความพึงพอใจ ในการใช้เอกสารประกอบการเรียนในปีการศึกษา  2551 ปรากฏว่านักเรียนมีความพึงพอใจโดยเฉลี่ย(   ) เท่ากับ 4.46 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่ได้กำหนดไว้  คือ ระดับความพึงพอใจมาก  ( 3.51 – 4.50)